อยู่คนเดียวก็รอด จากสัตว์บางชนิด

อยู่คนเดียวก็รอด จากสัตว์บางชนิด มนุษย์เรียนรู้อะไรได้บ้างที่ไปได้ดีเมื่ออยู่ลำพัง

อยู่คนเดียวก็รอด จากสัตว์บางชนิด

มนุษย์เรียนรู้อะไรได้บ้างที่ไปได้ดีเมื่ออยู่ลำพัง

การใช้ชีวิตตามลำพังมีข้อได้เปรียบอย่างมากในโลกของสัตว์ แล้วมนุษย์อย่างเราจะเรียนรู้อะไรจากพวกมันได้บ้าง ?หนูตุ่นตาบอดตะวันออกกลาง (Middle East blind mole rat) เป็นตัวอย่างของสัตว์ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอย่างแท้จริง พวกมันขุดอุโมงค์ลึกลงไปใต้ดินประมาณ 30 เซนติเมตร และใช้เวลาส่วนใหญ่ในอุโมงค์ของตัวเองเพื่อสะสมรากไม้ หัวพืช และหัวเผือกหัวมัน หนูตุ่นตาบอดแต่ละตัวมีอาณาเขตเป็นของตัวเองอย่างชัดเจน และหากหนูตุ่นตาบอดตัวใดเผลอขุดเข้าไปในอุโมงค์ของอีกตัวหนึ่ง พวกมันจะเผยเขี้ยวหรือกัดกันอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้แม้แต่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หนูตุ่นตาบอดก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ตัวผู้จะขุดอุโมงค์เข้าไปหาเพศเมีย แต่จะหยุดอยู่ห่างออกไปสักระยะ และใช้เวลาหลายวันส่งสัญญาณถึงกันผ่านแรงสั่นสะเทือน โดยใช้ศีรษะเคาะเพดานอุโมงค์เพื่อส่งสาร หากตัวเมียแสดงความสนใจ

ตัวผู้จึงจะเข้าไปผสมพันธุ์และจากไป ก่อนจะปิดอุโมงค์ไว้และกลับสู่ชีวิต อันเงียบสงบของมันรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้พบได้อย่างแพร่หลายในอาณาจักรสัตว์ แม้แต่ในหมู่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งโดยทั่วไปเป็นสัตว์สังคม นักวิจัยพบว่า 22% ของสายพันธุ์ที่ได้รับการศึกษาใช้ชีวิตแบบสันโดษเป็นหลัก หมายความว่าตัวผู้และตัวเมียมักนอนและหาอาหารหรือล่าเหยื่อตามลำพังเป็นส่วนใหญ่อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา สัตว์ที่ใช้ชีวิตลำพังมักได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างน้อย อาจเป็นเพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราจึงให้ความสนใจกับสิ่งมีชีวิตที่รวมกลุ่มเพื่อป้องกันตัวเอง หาคู่ หรือเลี้ยงดูลูกมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าเป็นเวลานานมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนมองข้ามการใช้ชีวิตที่โดดเดี่ยว โดยมองว่าเป็นรูปแบบการดำรงอยู่ที่ดั้งเดิมและเรียบง่าย เชื่อมโยงกับพฤติกรรมต่อต้านสังคมและสติปัญญาที่ไม่สูงนัก

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยในปัจจุบันเริ่มตระหนักว่าสัตว์บางชนิดวิวัฒนาการให้ใช้ชีวิตลำพังเพราะมันให้ประโยชน์หลายอย่าง เช่น การหลีกเลี่ยงการแข่งขันและสภาวะตึงเครียดที่มาพร้อมกับการอยู่รวมกันในกลุ่ม นอกจากนี้ ยังพบว่าสัตว์ที่ใช้ชีวิตสันโดษหลายชนิดมีความฉลาดสูง และแม้จะใช้ชีวิตตามลำพัง แต่พวกมันก็มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนและหลากหลาย แม้ว่าหนูตุ่นตาบอดจะเป็นข้อยกเว้น แต่สัตว์สันโดษจำนวนมากสามารถอยู่ร่วมกับตัวอื่น เรียนรู้จากกันและกัน และบางครั้งก็ให้ความร่วมมือกันได้ นั่นทำให้พวกมันได้รับประโยชน์ทั้งจากการอยู่ตามลำพังและจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม

ในขณะที่มนุษย์ใช้เวลาอยู่ตามลำพังมากขึ้นเรื่อย ๆ สัตว์เหล่านี้เตือนให้เราตระหนักถึงข้อดีของการใช้ชีวิตแบบสันโดษ การอยู่คนเดียวไม่ได้หมายความว่าต้องรู้สึกโดดเดี่ยวเสมอไป และนี่อาจเป็นแนวคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้เวลาในวันวาเลนไทน์เพียงลำพัง “บางทีการศึกษาสัตว์ที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวและวิธีที่พวกมันประสบความสำเร็จด้วยแนวทางนี้… อาจช่วยให้เราระบุได้ชัดเจนขึ้นว่าการอยู่คนเดียวมีข้อดีอะไรสำหรับสังคมมนุษย์” คาร์สเทน ชราดิน นักนิเวศวิทยาพฤติกรรมจากศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติฝรั่งเศส จากเมืองสตราสบูร์ก และผู้ร่วมเขียนบทความรีวิวปี 2024 เกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบสันโดษในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กล่าว

Getty Images

การอยู่เป็นกลุ่มย่อมมีประโยชน์มากมาย ลองนึกถึงม้าลายที่รวมฝูงเพื่อความปลอดภัย หรือสิงโตที่ล่าเหยื่อร่วมกันเพื่อโค่นเหยื่อที่ตัวใหญ่และรวดเร็วกว่า นกบางชนิดร่วมมือกันเลี้ยงลูกอ่อน และลิงชิมแปนซีใช้การทำความสะอาดปรสิตบนร่างกายเป็นกิจกรรมทางสังคมอย่างไรก็ตาม การอยู่เป็นกลุ่มก็มีข้อเสียเช่นกัน “ที่พักต้องถูกแบ่งปัน อาหารต้องถูกแบ่งปัน โอกาสในการผสมพันธุ์ก็ต้องถูกแบ่งปัน” เดวิด ชีล นักนิเวศวิทยาพฤติกรรมจากมหาวิทยาลัยอะแลสกาแปซิฟิกกล่าว”หรือหากสิ่งนั้นไม่สามารถแบ่งกันได้ ก็จะมีเพียงตัวเดียวที่ได้ไป”แม้ว่าการล่าเป็นฝูงและแบ่งปันอาหารจะเป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลสำหรับสัตว์อย่างสิงโต ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีเหยื่อขนาดใหญ่และอุดมสมบูรณ์พอที่จะแบ่งปันกันได้ แต่ในสถานการณ์ที่เหยื่อมีขนาดเล็กและแบ่งกันไม่ได้มากนัก หรือเมื่อเหยื่อกระจัดกระจายไปทั่วพื้นที่ ทำให้ต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการหา การอยู่เป็นกลุ่มอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด

นี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมตัวนิ่มและตัวกินมดจึงหาอาหารเพียงลำพัง เนื่องจากแมลงที่พวกมันกินมีจำนวนน้อยและกระจัดกระจาย รวมถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเสือซึ่งต้องเดินทางไกลเพื่อหาเหยื่อที่มีจำนวนจำกัดจึงล่าเพียงลำพัง เพราะนั่นช่วยให้พวกมันสามารถซุ่มโจมตีเหยื่อได้ง่ายขึ้นนอกจากนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน เสือและนักล่าที่อยู่โดดเดี่ยวบางชนิดยังสร้างอาณาเขตของตัวเองและปกป้องมันจากผู้ล่าตัวอื่นสำหรับหนูตุ่นตาบอด การอยู่ลำพังช่วยให้มันไม่ต้องแข่งขันกับตัวอื่นเพื่อพื้นที่ขุดอุโมงค์ ซึ่งเป็นงานที่ใช้พลังงานสูงมาก นอกจากนี้ สัตว์ที่ใช้ชีวิตสันโดษยังเผชิญกับการแข่งขันเพื่อหาคู่น้อยลง และลดความเสี่ยงในการติดโรคหรือพยาธิจากสัตว์ตัวอื่นขณะเดียวกัน แม่ที่เลี้ยงลูกสามารถทุ่มพลังทั้งหมดให้กับการดูแลลูกของตัวเอง โดยไม่ต้องช่วยเลี้ยงลูกของสัตว์ตัวอื่นเหมือนกับในบางสปีชีส์ที่มีสังคมซับซ้อนสำหรับสัตว์บางชนิด เช่น สลอธ การพรางตัวของมันอาจได้ผลก็ต่อเมื่อมันไม่ได้อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

“หากคุณใช้ชีวิตแบบสันโดษ คุณก็จะไม่เป็นจุดสนใจ” ลินเดลานี มายูกา นักสัตววิทยาจากมหาวิทยาลัยวิตวอเตอร์สแรนด์ในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ และผู้ร่วมเขียนบทความรีวิวร่วมกับคาร์สเทน ชราดิน กล่าวการใช้ชีวิตตามลำพังย่อมมีความท้าทายเช่นกัน เช่น การขาดประโยชน์จากการเบียดกันเพื่อให้ความอบอุ่น อย่างไรก็ตาม สัตว์บางชนิด เช่น หนูคารูแห่งแอฟริกาใต้ตอนใต้ สามารถรับมือกับปัญหานี้ได้โดยการสร้างรังไม้ขนาดใหญ่เพื่อป้องกันตัวเองจากอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง รวมถึงจากนักล่าด้วย ลินเดลานี มายูกา อธิบาย

สำหรับสัตว์ที่มีพฤติกรรมเข้าสังคมเป็นส่วนใหญ่ การอยู่เพียงลำพังอาจก่อให้เกิดความเครียด ส่งผลต่อสุขภาพและภาวะวิตกกังวล แต่สัตว์ที่ใช้ชีวิตสันโดษกลับไม่มีปัญหานี้ ในทางตรงกันข้าม หนูตุ่นตาบอดตะวันออกกลางกลับมีอาการเครียดและวิตกกังวลหากถูกนำมาอยู่ใกล้กัน แม้ว่าจะมีสิ่งกั้นระหว่างพวกมันก็ตาม โดยเฉพาะตัวที่มีขนาดเล็กกว่าและอยู่ในลำดับต่ำกว่ามักได้รับผลกระทบมากที่สุด “พวกมันอาจถึงขั้นตายเพราะความเครียดที่ได้รับ” ทาลี คิมชิ นักประสาทวิทยาพฤติกรรมจากสถาบันไวซ์มันน์ในอิสราเอล ซึ่งศึกษาเกี่ยวกับหนูตุ่นตาบอดในห้องปฏิบัติการของเธอกล่าวเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป แม่หนูตุ่นตาบอดจะดูแลลูกของมัน แต่เมื่อถึงเวลา แม่จะกลายเป็นศัตรูกับลูกของตนเอง บังคับให้พวกมันต้องขุดอุโมงค์ออกไปจากเธอ”อาจฟังดูตลก แต่นี่คือวิธีเอาตัวรอดของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้” คิมชิ กล่าว

Jingyu Qiu

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่สัตว์ทุกชนิดที่ใช้ชีวิตตามลำพังจะผลักไสกันเสมอไป สัตว์บางชนิดก็ถูกดึงดูดเข้าหากันเพราะมีทรัพยากรร่วมกันและมีชีวิตทางสังคมที่น่าสนใจมาก พวกมันสามารถอดทนต่อกันและบางครั้งก็ให้ความร่วมมือกันได้เมื่อจำเป็นตัวอย่างเช่น หนูคารูแห่งแอฟริกาใต้ที่อาศัยอยู่ใกล้กับญาติ ๆ ของมัน มักมีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกัน โดยพวกมันจะแบ่งปันพื้นที่หาอาหารกับตัวเมียที่เป็นเครือญาติ และในบางครั้งยังใช้รังไม้ร่วมกันในช่วงปลายฤดูผสมพันธุ์ เมื่อความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น

“แค่เพราะสัตว์บางชนิดใช้ชีวิตสันโดษ ไม่ได้หมายความว่าพวกมันจะไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม” มายูกา กล่าวเดวิด ชีล อธิบายว่า แม้แต่ปลาหมึกบางชนิดซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นสัตว์สันโดษจนกลายเป็นมุกตลกว่า พวกมันจะพบกันก็แค่เพื่อผสมพันธุ์หรือกินกันเอง ก็ยังสามารถรวมตัวกันได้ในบางสถานการณ์

ในอ่าวเจอร์วิส ทางตะวันออกของออสเตรเลีย มีปลาหมึกสายพันธุ์หนึ่งที่เรียกว่า ปลาหมึกกลูมมี่ (gloomy octopus) ซึ่งรวมตัวกันเนื่องจากมีที่หลบซ่อนที่เหมาะสม นักวิจัยเชื่อว่าสิ่งนี้อาจเริ่มต้นจากปลาหมึกตัวหนึ่งที่สะสมเปลือกหอยที่เหลือจากการกิน เมื่อกองเปลือกหอยเหล่านี้มากพอ มันก็ช่วยทำให้พื้นตะกอนมีเสถียรภาพมากขึ้นจนปลาหมึกอีกตัวสามารถสร้างโพรงของตัวเองได้ จากนั้นปลากหมึกตัวใหม่นี้ก็เริ่มสะสมเปลือกหอยของมันเอง กระบวนการนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนมีปลาหมึกมากถึง 16 ตัวรวมตัวกันอยู่ในจุดเดียว ชีล ซึ่งศึกษาพื้นที่นี้ร่วมกับเพื่อนนักวิจัยกล่าว

ใน “เมืองปลาหมึก” แห่งนี้ พวกมันต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่แออัดกว่าที่เคย และเริ่มแสดงพฤติกรรมที่น่าสนใจเพื่อปรับตัวเข้าหากันปลาหมึกตัวผู้บางตัวพยายามบังคับให้ตัวเมียอยู่ใกล้ ๆ และไล่ตัวผู้ตัวอื่นออกไป บางครั้งพวกมันถึงกับคลานเข้าไปในโพรงของกันและกัน ต่อสู้กัน และขับไล่อีกฝ่ายออกไป หากตัวผู้ที่ถูกไล่พยายามกลับมา “ตัวที่ขับไล่มันออกไปอาจกลับมาและขับไล่มันซ้ำอีก” เดวิด ชีล อธิบาย

นอกจากนี้ ปลาหมึกมักจะผลักเศษซากต่าง ๆ ไปยังพื้นที่ของเพื่อนบ้านขณะที่พวกมันทำความสะอาดโพรงของตัวเอง และบางครั้งพวกมันถึงกับจับเศษซากไว้แล้วใช้ช่องพ่นน้ำ (funnel) ยิงใส่กันซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ชีลและทีมวิจัยของเขาบันทึกไว้ในงานศึกษาปี 2022พฤติกรรมเหล่านี้ไม่ได้เป็นทั้งการก้าวร้าวโดยตรงหรือความร่วมมืออย่างชัดเจน นักวิทยาศาสตร์บางคนเรียกมันว่า “การเบียดเสียดกัน” (jostling) ชีลอธิบายเพิ่มเติมว่า “เราได้นำสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าใช้ชีวิตโดดเดี่ยวมาอยู่ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนทางสังคม และทั้งหมดที่พวกมันทำก็คือการเบียดเสียดกัน ซึ่งดูเหมือนพวกมันจะปรับตัวได้ดีมาก นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันอาจไม่ได้สันโดษขนาดที่เราคิด หรือความเครียดจากการอยู่ร่วมกับตัวอื่นอาจไม่ได้ส่งผลร้ายแรงต่อพวกมัน”

ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ซับซ้อนเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงสติปัญญาของสัตว์ที่ใช้ชีวิตตามลำพัง เช่นเดียวกับที่นักวิจัยพบว่าสัตว์เลื้อยคลานบางชนิดซึ่งเป็นสัตว์สันโดษ สามารถเฝ้าดูพฤติกรรมของตัวอื่น ๆ แล้วนำข้อมูลนั้นไปใช้แก้ปัญหาได้ ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นความสามารถที่มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้”สัตว์ที่โดยธรรมชาติอาจไม่ได้สร้างกลุ่มสังคมที่ซับซ้อน แท้จริงแล้วอาจมีรูปแบบการเรียนรู้ทางสังคมที่ก้าวหน้ากว่าที่เราคิด” แอนนา วิลคินสัน นักวิทยาศาสตร์ด้านพฤติกรรมจากมหาวิทยาลัยลินคอล์น สหราชอาณาจักร ระบุ

Peter Godfrey-Smith

จากการทดลองกับ เต่าตีนแดง ซึ่งโดยปกติจะหาอาหารตามลำพัง แต่บางครั้งพวกมันก็อาจพบกันใต้ต้นไม้ที่มีผลร่วงลงมา แอนนา วิลคินสัน และทีมวิจัยของเธอได้ตั้งสิ่งกีดขวางรูปตัว V แบบโปร่งใส โดยมีอาหารอยู่ด้านในตอนเริ่มต้น ไม่มีเต่าตัวใดสามารถเข้าถึงอาหารได้ จนกระทั่งนักวิจัยฝึกเต่าตัวหนึ่งให้หาทางไปถึงอาหารได้สำเร็จ

เมื่อเต่าตัวอื่นเห็นเพื่อนของมันสามารถเข้าถึงอาหารได้ พวกมันก็ทำตามทันที สิ่งนี้น่าทึ่งอย่างยิ่งเพราะแสดงให้เห็นว่าสัตว์เลื้อยคลานสามารถเรียนรู้จากกันและกันผ่านการเลียนแบบได้ ทั้งที่โดยธรรมชาติแล้ว สัตว์กลุ่มนี้มักฟักออกจากไข่โดยไม่มีพ่อแม่คอยสอนทักษะการเอาตัวรอดหลักฐานเหล่านี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์มองว่า การใช้ชีวิตตามลำพังไม่ได้เป็นสิ่งที่ตายตัวหรือเหมือนกันทุกกรณี แต่เป็น “สเปกตรัม” ตั้งแต่สัตว์ที่ค่อนข้างจะต่อต้านสังคมอย่างหนูตุ่นตาบอดไปจนถึงสัตว์ที่ใช้ชีวิตตามลำพังเป็นหลัก แต่ยังสามารถเรียนรู้จากกันและให้ความร่วมมือกันได้

สัตว์บางสายพันธุ์สามารถปรับเปลี่ยนระหว่างการอยู่ลำพังและการอยู่ร่วมกันได้ เช่น หนูแถบ (striped mice) ที่อาศัยกันเป็นกลุ่ม แต่เมื่อถึงช่วงผสมพันธุ์จะใช้ชีวิตตามลำพัง หรือ โคอาติ (coatis) สัตว์คล้ายแรคคูน ที่ตัวผู้ใช้ชีวิตตามลำพัง ในขณะที่ตัวเมียรวมกลุ่มกันออกล่าการทำความเข้าใจโครงสร้างทางสังคมของสัตว์เหล่านี้สามารถช่วยให้นักอนุรักษ์ปกป้องและรักษาประชากรของพวกมันจากภัยคุกคามของมนุษย์ได้ มายูกา และ ชราดิน กำลังเริ่มสร้างเครือข่ายนักวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิต ประโยชน์ ความต้องการ และความท้าทายของสัตว์สันโดษ

“การใช้ชีวิตสันโดษไม่ได้เรียบง่ายและดั้งเดิมเสมอไป” คาร์สเทน ชราดิน อธิบาย “แต่มันอาจมีความซับซ้อน และต้องเผชิญกับความท้าทายที่แตกต่างกัน ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดพัฒนาแนวทางการรับมือของตัวเอง”การทำความเข้าใจมิติของการใช้ชีวิตลำพังอาจเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เช่นกัน ทาลี คิมชิ กำลังศึกษาการเปลี่ยนแปลงในสมองของหนูตุ่นตาบอดเมื่อพวกมันสลับระหว่าง “ช่วงเก็บตัว” กับ “ช่วงเข้าสังคม” ในระหว่างการผสมพันธุ์และการเลี้ยงลูก ซึ่งอาจช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เข้าใจภาวะที่ทำให้มนุษย์บางคนถอนตัวจากสังคม เช่น อาการทางระบบประสาทหรือจิตเวชในขณะเดียวกัน ชราดินชี้ว่า สังคมที่เน้นความเป็น “เอ็กซ์โทรเวิร์ต” อาจมองว่าการอยู่ลำพังเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ทั้งที่จริงแล้ว สัตว์ที่อยู่ตามลำพังจำนวนมากสร้างเครือข่ายทางสังคมที่มีความหมายรอบตัว เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ใช้ชีวิตลำพัง แต่ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง catcamthemovie

Comments

No comments yet. Why don’t you start the discussion?

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *