Dr. Stone อัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์
Dr. Stone ได้ผลงานประพันธ์เรื่องของ ริอิจิโร่ อินากาคิ (Riichiro Inagaki) ที่ผ่านมาผลงานยกเมฆที่สร้างชื่อให้กับเขาก็คือ มังหงะกล่าวถึงอเมริกันฟุตบอลระดับม. ปลายชื่อดังอย่าง Eye-shield 21 ที่ถือได้ว่าอยู่ในยุคทองของมังหงะด้วย มาเกาะติดคู่กับนักวาดมังหงะมือเก๋าอย่าง ‘Boichi’ ซึ่งเป็นนามแฝงของนักวาดมังหงะมีชื่อเสียงชาวเกาหลีชื่อปาร์ก มูชิก (Mujik Park) ดูการ์ตูน Dr. Stone คลิก
ชีวิตที่อยู่ภายใต้เปลือกหิน
ซึ่งสร้างชื่อ ในญี่ปุ่นมานานแล้ว ส่งผลงานมากมาย อย่าง Space Shift Caesar, Sun-Ken-Rock, Wallman, Origin อื่นๆ อีกมากมายใน เรื่อง Dr.Stone นี้ เรื่องราวเริ่มต้นจากโลกในยุคปัจจุบันนี่แหละขอรับ แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดทราบดีว่าต้นสายปลายเหตุคืออะไร แต่ว่าเกิดแสงไฟวูบครั้งใหญ่ แล้วสิ่งมีชีวิตเกือบทุกอย่างก็เปลี่ยนเป็นหินไปหมด (แม้กระนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ภายใต้เปลือกหินนั้น) และเวลาก็ผ่านไปกว่า 3,689 ปี
โลกเปลี่ยนสภาพไปหมด มากเสียจนกระทั่งเกินกว่าจะเรียกว่าเป็นโลกยุคข้างหลังการล่มสลาย หรือ Post-Apocalyptic World ได้ เพราะว่าสภาพการณ์โอบล้อมของโลกถึงกับขนาดฟื้นคืนกลับมาใหม่เป็นโลกอีกใบไปแล้ว และเหล่าผู้ที่แข็งเป็นหินก็เบาๆเริ่ม “กระเทาะหินออกมา” แล้วได้กลับมาดำรงชีวิตในโลกใบเดิมแต่ภาวะใหม่นี้ ข้ามระยะเวลากว่าสามพันปี
โดยที่ความทรงจำก็ยังอยู่กับโลก เมื่อกว่าสามพันปีกลายนั้น อยู่นักแสดงหลัก ในเรื่องเป็น เซ็นคุ (Senku) นักเรียนม. ปลาย ที่เป็นอัจฉริยะทางด้านวิทยาศาสตร์แทบทุกกิ้งก้าน การคำนวณ จนถึงการประดิษฐ์ กับสหายๆของเขาที่เป็นคนร่วมรุ่นเองอย่างไทจูและยูซุริฮะ กับอีกคนหนึ่งเป็นสึกาสะ ที่เป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งมากมาย (สามารถล้มสิงโตได้ด้วยมือเปล่า) ทั้งมีความเข้าใจในเชิงการวางแผนยุทธศาสตร์ที่ไม่เป็นรองใครกันแน่
ทั้งคู่คนมีมุมมองต่อโลกที่แตกต่างกัน (ยังไงนั้นควรไปอ่านเอง) แล้วก็นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการจำต้องต่อสู้ห้ำหั่น เพื่อจะจบอีกฝ่ายลงให้ได้ผลจากการห้ำหั่นทำให้กรุ๊ปของเซ็นระอุจะต้องแยกทางกัน เซ็นระอุไปศึกษาและทำการค้นพบมนุษย์
ซึ่งเป็นคนท้องถิ่นจริงๆคือ เกิดและก็โตมาในโลกที่เป็นแบบนี้จริงๆในระหว่างที่พวกเขายังคงเป็นหินอยู่ ซึ่งหมายถึงหรูหราการวิวัฒนาการระดับมนุษย์สมัยมืดค่ำดำบรรพดีๆนี่เองขอรับ แม้กระนั้นภาวะดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์แคว้นของโลกใหม่ หรือมนุษย์ผู้ฟื้นคืนจากโลกเก่า
ทุกคนล้วนอยู่ในสมัยที่จำเป็นต้องกลับมาสู่จุดเริ่มต้นทางเทคโนโลยีที่เป็นศูนย์ร่วมกันทั้งนั้น แล้วก็จุดนี้เองที่บทบาทของเซ็นระอุสำคัญยิ่ง เพราะเหตุว่าเขาคิดจะมีผลให้ระดับของเทคโลโลยีและสิ่งใหม่ของโลกใหม่นี้ ก้าวทันยุคทันสมัยเก่าให้ได้เนี่ยชั่วเวลา 1 อายุคนของเขา
รวมทั้งฝั่งตรงข้ามของเซ็นคุ อย่างพวกสึค้างสะเองก็ทราบดีว่าปล่อยเซ็นปะทุไว้นานมิได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเซ็นคุก็จะปรับปรุงเทคโนโลยีไปไกลเกินกว่าที่ความสามารถเกี่ยวกับด้านกำลังทางกายภาพล้วนๆจะสู้ไหวหรือตามทัน
‘นิยมวัตถุทางประวัติศาสตร์’
หัวข้อในมังหงะที่อายุอานามไม่มากนักนี้ มีเยอะมากเลยครับ แต่ที่ผมรู้สึกว่าสำคัญที่สุด ดีเลิศที่สุด อาจหนีไม่พ้นการให้ภาพเรื่อง ‘นิยมวัตถุทางประวัติศาสตร์’ หรือที่พวกเราเรียกกันว่า Historical Materialism ในทางวิชาการ ซึ่งคาร์ล มาร์กซ์ เป็นผู้เสนอเอาไว้คนแรกตอนแรก คำชี้แจงความเปลี่ยนแปลงของความประพฤติปฏิบัติมนุษย์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับสังคมนั้นชอบมาจากคำชี้แจงแนวคิดแบบที่เรียกว่า Inside-out หรือก็คือ ความคิด ความตั้งใจ ความปราถทุ่งนาจากตัวตน จิตใจของคนเราเองสำหรับการอยากจะทำในสิ่งนั้นสิ่งนี้ได้ จึงสร้างความเคลื่อนไหวขึ้นเพื่อสนองตามความคิดนั้น และโน่นก็ดูเหมือนจะถูกไม่น้อยทีเดียวแม้กระนั้นมาร์กซ์ได้เสนอออกมาตรงกันข้ามเลยขอรับ ว่าไอ้จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนความประพฤติ
รวมทั้งแนวทางคิดในระดับสังคมนั้นมันเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากอิทธิพลจากภายนอกเข้ามาทำให้สังคมข้างในเปลี่ยนไปต่างหาก หรือก็คือเป็นคำชี้แจงแบบ Outside-in ขอรับ โดยไอ้สิ่งข้างนอกที่แปรไปก็คือ วัตถุ (material) และก็พวกเทคโนโลยีต่างๆทั้งหลายแหล่รอบตัวเรานี่แหละครับ ที่ส่งผลสำหรับการจัดรูปวิธีคิด และความประพฤติของเราเอง
อย่างที่บ่อยๆครั้งเราก็ไม่เคยคิด หรือจินตนาการมาก่อนได้อย่างการที่ปัจจุบันนี้มีสมาร์ตโฟนเกิดขึ้น มีแอพลิเคชั่นสำหรับติดต่อสื่อสารมากมาย มีโซเชียลเน็ตเวิร์คเกิดขึ้นมา เราก็บางทีอาจจะได้เห็นภาพอากง อาม่า ย่า คุณยายของพวกเรา นั่งกดส่งรูป สวัสดีวันต่างๆพร้อมดอกไม้หลายสีสัน ให้กลุ่มเพื่อนของพวกนาง อย่างเกือบจะเป็นปกติได้
แล้วก็นั่งหัวเราะคิกๆกับโทรศัพท์มือถือไปเสียครึ่งค่อนวัน แม้กระนั้นภาพที่ดูเหมือนจะปกติพวกนี้ พวกเราบางครั้งก็อาจจะไม่ได้คิดหรือกระทั่งจินตนาการได้เลยเมื่อสิบกว่ายี่สิบปีกลาย ว่ากงกะม่าพวกเราจะมาสายนี้ ไม่ต้องนับเด็กๆเจเนอเรชั่นใหม่ที่เกิดและก็โตมาในช่วงที่เป็น Digital Nativeหมายถึงเกิดขึ้นมาก็มีของพวกนี้มากับชีวิตเค้าเลย แนวทางการคิด การมองโลกของเขา กับเราก็ย่อมต่างๆนาๆด้วย
ดังที่ผมกับรุ่นบิดามารดาผมมีแนวทางคิด มุมมอง และความประพฤติไม่เหมือนกันออกไปนี่เองนะครับคือความเคลื่อนไหวที่มาจาก ‘นอกเข้าใน’ (โปรดอย่าคิดลามก) คือ การเกิดขึ้น และความเคลื่อนไหวด้านนอกมันเข้ามาแปลงวิถีชีวิตพวกเรา อย่างประเภทที่บ่อยๆครั้งพวกเราไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ทันจะได้คาดหวัง แต่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้น
พวกเราก็ไหลไปตามมัน เปลี่ยนทิศทางความเป็นไปของชีวิตเราไปตามกระแสการไหลของวัตถุภายนอกที่มาพัดพาเราไป ในเรื่อง Dr.Stone นี้เองก็เหมือนกันขอรับ คำว่า Stone นี้นอกเหนือจากการที่จะสื่อถึงการเคยเป็นหินมาก่อนแล้ว มันยังสื่อถึงการสู้กับข้อจำกัดของสภาพการณ์ทางเทคโนโลยีประมาณยุคหินอีกด้วย แล้วก็ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ (แทนด้วย Dr. ในชื่อเรื่อง) อย่างเซ็นคุนั้นก็ได้นำสิ่งที่พอเพียงจะมีอยู่ แล้วก็ศักยภาพมากพอจะหามาเองได้ เบาๆพัฒนา ‘นวัตกรรมใหม่ๆ’ จากความไม่มีในยุคนั้น
‘นวัตกรรมใหม่ๆ’
ประดิษฐกรรม การทดสอบ การหาทรัพยากรเพื่อการสร้าง หรือจนกระทั่งแนวทางคิดของเซ็นระอุเอง ถูกบ่งบอกถึงเด่นชัดมากในตัวมังหงะเรื่องนี้ว่า มันเปลี่ยนแปลงความคิดและก็วิถีชีวิตของคนโลคอลที่เกิดรวมทั้งเติบโตมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่ไม่มีเทคโนโลยีอย่างไร จากเดิมทีเซ็นลุกถูกเห็นว่าเป็นพ่อมดหมอผีที่ท่องคาถาที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์
แม้กระนั้นสิ่งประดิษฐ์ของเขาได้เริ่มชี้ให้เห็นถึงคำตอบที่นำไปสู่ภาวะการใช้ชีวิตที่เหนือกว่า และคนก็เริ่มเข้าใจถึงความมีสาระของผลงานของเซ็นปะทุ และเข้ามาให้การช่วยเหลือเยอะขึ้นเรื่อยๆการกระทำ รวมทั้งวิถีชีวิตของคนภายในชุมชนดังที่กล่าวมาข้างต้นก็มีการเปลี่ยนอย่างชัดเจนมากไม่น้อยเลยทีเดียว อีกทั้งในแง่อาวุธ วัสดุอุปกรณ์และก็ยารักษาโรค ของกิน
กระทั่งวัสดุอุปกรณ์เผื่อการผ่อนคลายต่างๆโลกไม่ได้แปลงได้ด้วยศรัทธาล้วนๆแต่ว่ามันอยากได้ความรู้ และต้องการพลังของวัตถุ/สิ่งแวดล้อมให้ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวได้ อย่างสำคัญนะครับอย่างการเริ่มต้นการพยายามจะสร้าง ‘โหลและก็หลอดแก้ว’ ในยุคหินใหม่ เพื่อจะได้สามารถริเริ่มการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยและผลิตด้านเคมีภัณฑ์ต่างๆได้โดยจริงจัง
(เนื่องจากแก้วมีความทนทานต่อกรดและก็เบสสูง เป็นเครื่องไม้เครื่องมือต้องสำหรับในการใช้เป็นภาชนะ) และเมื่อได้แก้วมา เว้นเสียแต่มันจะถูกนำมาใช้เป็นภาชนะสำหรับในการทดลอง ที่นำมาสู่เทคโนโลยีใหม่ๆเยอะแยะแล้ว อย่างการใช้รองรับกรดซัลฟิวริก ที่ถูกนำมาใช้ต่อในอีกหลายอุปกรณ์ เช่น แบตเตอรี่ (ซึ่งก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของชุมชนอีกมากมากมายก่ายกองตามมา)
แก้วยังถูกประยุกต์ใช้ดัดแปลงสำหรับเพื่อการทำเป็นสินค้าอื่นๆที่นอกเหนือไปจากความตั้งอกตั้งใจแต่เดิมเองแต่ต้นด้วย เนื่องจากว่าเทคโนโลยีนั้นมันมีหน้าที่ในฐานะการเป็นตัวกึ่งกลางของความน่าจะเป็นอื่นๆที่อยู่ในลำดับรๆไป (Means of Adjacent Possibilities) ซึ่งเหนือกว่าความตั้งอกตั้งใจตั้งแต่แรกของเราก็เป็นไปได้อย่างในเรื่อง มันถูกนำมาใช้ทำแว่นสายตา แก้อาการสายตาสั้นให้คนในหมู่บ้าน ที่ในขณะนั้นรู้เรื่องว่าอาการสายตาสั้นเป็นโรคร้าย เป็นความจำเป็นต้องสาปบางอย่าง
สะท้อนมุมมองแบบคนแคระแกร็นบนบ่ายักษ์
เมื่อมีแว่นและสายตาที่ชัดแจ๋ว วิถีการดำเนินชีวิตก็แปรไป หรือแก้วที่ต่อมาถูกเอามาเป็นองค์ประกอบสำคัญของหลอดไฟ ก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของทุกคนในหมู่บ้านยุคหินใหม่นี้ไปอย่างตลอดไป พวกเขาสามารถมีแสงไฟได้อย่างเจิดจ้าแม้ในยามช่วงกลางคืน ในขณะความมืดดำเป็นนายเหนือทุกอณาเขตรอบตัวพวกเขา
นี่แหละขอรับเป็นตัวอย่างของเทคโนโลยี ของวัตถุที่มันนำมาซึ่งความเคลื่อนไหวในทางประวัติศาสตร์ แล้วก็ความประพฤติปฏิบัติของสังคม เพราะเมื่อสิ่งพวกนี้ได้เกิดขึ้น โลกก็ไม่อย่างเดิมอีกต่อไป แค่เพียงในเรื่อง Dr. Stone มันเกิดขึ้นด้วยอัตรา ที่รวดเร็วทันใจ แซงทางโค้งประวัติศาสตร์จริง แบบมากมายเป็นอย่างมากก็เท่านั้นเอง
Dr.Stone ก็เลยเป็นมังหงะ ที่อีกทั้งให้ความรู้ ความเข้าใจกับเราถึงประโยชน์ ซึ่งมาจากวิทยาศาสตร์รวม ทั้งวัตถุทางด้านเทคโนโลยีที่อยู่รอบข้างเรา ว่าหลายครามันอยู่ใกล้ตัวเราเพียงใด หลายคราวเราไม่รู้ตัวเองเพียงใด ถึงความเปลี่ยน ไปของวิถีชีวิตของเราเอง จากการมีหรือเปล่ามีสิ่งพวกนี้ ความแตกต่างของภาวะการ ‘มี-ไม่มี’ อย่างสุดขีด ในแง่วัตถุนี้เอง ที่สำหรับผมแล้วคือ ธีมหลักที่สำคัญมากของเรื่อง ที่มันจำต้องไปต่อสู้ห้ำหั่น กับฝั่งที่อาศัยกำลัง
ความรู้ความเข้าใจ สำหรับในการต่อสู้ รวมถึงยุทธศาสตร์ ทางการการสู้รบด้วย ว่ามันจะจบ ต้นเหตุของความร้ายแรง (Agent of Violence) อย่างสึคาสะได้เช่นไร?ยิ่งกว่านั้น เรื่องยังมีแอบแฝงแนวความคิด อีกหลายแบบไว้ด้วย ที่คงไม่อาจจะกล่าวหมด กระทั่งครบได้ มันซ่อนเร้นแนวทางคิดแบบ ‘เรอเนสซองส์’ ที่ปรารถนาฟื้นฟูศิลป์วิทยาการ ของภาษากรีกโบราณ ให้คืนกลับมาอีกรอบ มันสะท้อนมุมมองแบบ คนแคระแกร็นบนบ่ายักษ์
มันเป็นราวกับอนุสนธิที่เตือนสติ เราถึงความพินาศที่อาจจะมีการเกิดขึ้น แม้เราใช้ความเป็นต่อจาก ‘การมี (วัตถุ)’ เหล่านี้จน กระทั่งเกินเลย ไม่รู้ตัวว่าจะนำมา ซึ่งการก่อให้เกิด ความเละเทะได้อย่างไร (โดยยิ่งไปกว่านั้นที่สะท้อนผ่านจุดยืนของค่ายสึคาสะ) ไปจนถึงแนวความคิด
เรื่องการเลือกทางเผ่าพันธุ์ อย่างที่เคยเกิดขึ้นกับ กรณีการฆ่าล้างเชื้อสาย ในประวัติศาสตร์โลกบ่อย ผมต้องการให้ทดลองอ่าน ประเด็นนี้กันดู ครับผม สนุกสนานมากๆแล้วก็อยากเชียร์ให้ประเด็นนี้อยู่ถัดไปนานๆ